ผมเชื่อว่านักวิ่งหลายคนโดยเฉพาะมือใหม่มักมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกซ้อม ซึ่งอาจทำให้การพัฒนาไม่เต็มศักยภาพ หรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ เรามาลองดูความเข้าใจผิดที่พบบ่อยๆ กันครับว่ามีอะไรบ้าง
🏃♂️ วิ่งเยอะๆ ทุกวันจะเก่งเร็วขึ้น
การที่เรามีการซ้อมวิ่งทุกวันโดยไม่มีการวางแผนที่ดี หรือไม่มีวันพักเลย อาจนำไปสู่ผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ เพราะว่าร่างกายต้องการ “การพัก” เพื่อฟื้นตัวและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ การฝึกหนักตลอดเวลาโดยไม่พัก อาจทำให้เกิดอาการ Over training เสี่ยงบาดเจ็บ และนั้นก็ส่งผลทำให้ Performance แย่ลง ร่างกายเราไม่ได้พัฒนาหรือแข็งแรงขึ้นตอนที่เราวิ่ง แต่เป็นช่วงที่เราได้พักผ่อนและฟื้นฟูต่างหาก การวิ่งเป็นการสร้าง “รอยร้าว” เล็กๆ ในกล้ามเนื้อ และร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองให้แข็งแรงขึ้นในช่วงพัก ถ้าเราไม่ให้เวลาร่างกายได้พักเลย กล้ามเนื้อก็จะไม่มีโอกาสได้ซ่อมแซม แถมยังอาจเกิดการบาดเจ็บสะสมได้อีกด้วย
🏃♂️ ต้องวิ่งเร็วทุกครั้ง
ความเข้าใจผิดที่ว่าต้องซ้อมวิ่งเร็วทุกครั้งก็เป็นอีกหนึ่งความคิดที่อาจจะฉุดรั้งพัฒนาการของนักวิ่งได้เช่นกัน การวิ่งเร็วเป็นส่วนสำคัญของการฝึกซ้อม แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และถ้าทำบ่อยเกินไปหรือไม่ถูกวิธี ก็อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี นักวิ่งบางคนอาจจะรู้สึกว่าการวิ่งเหยาะๆ หรือวิ่งช้าๆ ไม่ได้ช่วยพัฒนาเท่ากับการวิ่งเร็ว ทำให้เน้นแต่การวิ่งเร็วเพื่อรู้สึกว่าได้ “ออกกำลัง” จริงๆ การวิ่งเร็วอาจจะให้ความรู้สึกเหนื่อยและท้าทาย ทำให้บางคนเชื่อว่าจะเห็นผลลัพธ์ด้านความเร็วและความแข็งแรงได้เร็วกว่าการวิ่งช้าๆ นักวิ่งบางคนเห็นนักวิ่งระดับแนวหน้าซ้อมวิ่งเร็ว ก็อาจจะคิดว่าตัวเองต้องทำตามโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานการฝึกซ้อมและระดับความฟิตของตัวเอง
🏃♂️ ยิ่งเจ็บ ยิ่งแปลว่าซ้อมถูก
นักวิ่งบางคนยัง มีความเชื่อที่ว่า อาการเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อ แสดงถึงความพัฒนาของตัวเอง แต่นั้นไม่ใช่สัญญาณของความก้าวหน้าเสมอไป หากเจ็บเฉพาะกล้ามเนื้อหลังซ้อมหนักนั้นอาจพอรับได้ (DOMS) แต่ถ้าเจ็บแปลบ เป็นจุด หรือเจ็บต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บที่ต้องพัก
🏃♂️ ไม่ต้องวอร์มอัพ/คูลดาวน์
วอร์มอัพเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเสมอ เพราะการวอร์มอัพช่วยให้ร่างกายพร้อมและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ส่วนคูลดาวน์ช่วยลดอาการเมื่อยล้าและส่งเสริมการฟื้นตัว
🏃♂️ รองเท้าวิ่งไม่สำคัญเท่าไหร่
การเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้าและลักษณะการวิ่งเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญก่อน เพราะรองเท้าที่ดีและเหมาะสมกับรูปเท้าของเราจะสามารถช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันการบาดเจ็บได้มาก รองเท้าสามารถมีได้หลายคู่ เพราะการฝึกซ้อมแต่ละโปรแกรมการฝึก ในบางครั้งก็ต้องการรองเท้าที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่นในวันที่เราวิ่ง Easy ก็ใช้รองเท้าพวก Daily Training ส่วนวันไหนที่ลงโปรแกรม Interval หรือ Tempo ก็ใช้รองเท้าที่มีแผ่น Carbon plate เพื่อใช้เร่งประสิทธิภาพของตัวนักวิ่ง
🏃♂️ ยิ่งเหงื่อออกมาก ยิ่งเผาผลาญได้ดี
ความจริงคือปริมาณเหงื่อไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการเผาผลาญพลังงาน เพราะบางคนเหงื่อออกมากเพราะอุณหภูมิหรือความชื้น ไม่ได้แปลว่าเบิร์นเยอะนะครับ วันไหนอากาศร้อนเราจะเสียเหงื่อเยอะ ควรเติมน้ำสม่ำเสมอเวลาซ้อม
🏃♂️ การฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นไม่สำคัญ เน้นวิ่งพอแล้ว
สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่อาจจะคิดว่า การฝึก Strength training เช่น ฝึก core, ขา, ก้น นั้นไม่สำคัญ อาจะเพราะคิดว่าการวิ่งระยะใกล้ เช่น 5k หรือ 10 k นั้นทำได้ไม่ยาก แต่เมื่อไปลงสนามที่มีระยะมากขึ้นอย่าง Half Marathon หรือ ระยะ Marathon นักวิ่งหน้าใหม่จะรู้ทันที่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวิ่งจบแบบสบายๆ อาจจะต้องมีเดินกันบ้างหรือบาดเจ็บก็มี เพราะฉะนั้นการฝึก Strength training มีความสำคัญและช่วยเสริมกล้ามเนื้อให้วิ่งได้มีประสิทธิภาพขึ้น ลดโอกาสบาดเจ็บจากการวิ่ง
🏃♂️ไม่ต้องกินน้ำหรืออาหารก่อนหรือระหว่างวิ่ง
นักวิ่งหลายคนกลัวปวดท้อง หรือไม่อยากหยุดระหว่างทางจึงเลี่ยงที่จะกินอาหารหรือน้ำก่อนแข่ง แต่ร่างกายของเราต้องการพลังงานและน้ำอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะการวิ่งระยะไกล นักวิ่งควรจิบเกลือแร่ หรือกินเจล กล้วย ก่อนและระหว่างวิ่งด้วยเพื่อช่วยให้ Performance ดีขึ้นและป้องกันอาการล้าชองกล้ามเนื้อ นักวิ่งที่ดีและมีประสบการณ์จะมีการวางแผนเรื่องการกินและดื่มน้ำที่ดี ทั้งในระหว่างซ้อมและในการแข่งขัน
ผมเชื่อว่ายังมีความเข้าใจผิดๆเรื่องของการวิ่งและการฝึกซ้อมที่นอกเหนือจากนี้อีก